thaifern

เที่ยวป่าล่าอาลาด่าง

โดย ไข่


ในที่สุดเราก็เดินมาสุดทางน้ำไหล ตรงจุดนั้น  จะมีแค่น้ำซึมและหยดมาจากหน้าผาเล็ก ๆ เท่านั้น  แต่มหัศจรรย์ตรงที่ว่าห่างจากตรงนั้นแค่ 2-3 ก้าว  ก็จะมีน้ำไหลสูงท่วมฝ่าเท้า  เจ้าชาติบอกว่าเราต้องเดินขึ้นไปบนยอดเขาลูกนี้เพื่อไปหาลำธารน้ำ ที่เป็นสาขาของห้วยแม่กระแซอีกสายหนึ่ง  อยู่ตรงหนก็ไม่รู้ (ดูมันพูด)  แต่ต้องเดินข้ามภูเขาลูกนี้ไปเพื่อไปอีกด้านหนึ่ง  ชาติตัดพืชตระกูลกล้า  ซึ่งลำต้นใหญ่และแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อให้พวกเราเพื่อใช้ค้ำยันเวลาเดิน  เพราะเราต้องเดินสามขาไม้ค้ำยันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก  เพื่อไม่ให้หงายหงอยหลังลงมา  หรือบางครั้งก็ใช้แทงไปในดินเพื่อดึงตัวขึ้นไป ภูเขาลูกที่เราปีนชันเกินกว่า 60 องศา เป็นดินลื่นแบบนี้สร้างความลำบากให้กับทุกคน  ถ้าพลาดก็ต้องลื่นลงไปอยู่ข้างล่างเจ็บตัวแน่นอน  จากเดิน 3 ขา ทีนี้ก็ต้องเป็นสี่ขา  พวกเราค่อย ๆ คลานขึ้นไป  หยุดพักกันจนจำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง  ผมไม่ยากมองไปข้างบนที่เป็นจุดหมายดูเหมือนว่ามันจะไกลเสียจริง ๆ  เพราะเราใช้เวลานานกันพอสมควรกว่าจะถึงยอดเขา  เหนื่อย สะใจ  แต่ก็ประทับใจ  พี่พจน์บอกว่ามาคราวหน้าต้องใช้เชือกให้ขึ้นไปก่อนหนึ่งคนแล้วโรยเชือกลงมา คนแก่ก็แบบนี้แหละอยากพาเที่ยวป่าแต่ก็ไม่อยากเหนื่อย

พักกันพอหายเหนื่อยก็เดินกันต่อ  ช่วงนี้เดินแบบสบาย ๆ  ผ่านไร่ของชาวบ้าน  ไม่น่าเชื่อว่าสูงขนาดนี้ยังมีคนมาแบบแผ้วถางป่าทำไร่กันอีก  ความพยายามของมนุษย์อยู่ที่ไหนป่าก็โดนทำลายมากเท่านั้น  ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจัง  เดินตัดไร่ของชาวบ้านก็ไปถึงป่าโปร่งอีกด้าน  ถึงที่พวกเราเห็นอยู่ข้างหน้าทำให้พวกเราทุกคนหายเหนื่อย  บนต้นไม้มีเฟินชายผ้าสีดาปีกผีเสื้อ  เกาะอยู่ตามบนต้นไม้หลายต้น  ยังเดินลึกเข้าไปก็พบมากขึ้น  แต่ละต้นงดงามแบบไม่มีที่ติ  ต้นไม้ข้างต้นเฟินชนิดนี้ขึ้นเรียงแถวกันสวยงาม  บางต้นเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น่าจะต่ำกว่า 2 ฟุต เดินไปทางไหนก็พบแต่เฟินชนิดนี้ขึ้นอยู่ตามต้นไม้  นอกจากนั้นยังมีพวก กูดอ้อม  เฟินนาคราชญี่ปุ่น  ชาไก่ ที่พื้นดินก็จะมีพวกกูดขนคางพญานาคขึ้นอยู่เป็นดงดูนุ่มนวลสวยงาม เวลาโดนลมพลิ้วไหวดูสวยงามจริง ๆ  ช่วงนี้เราเดินกันบนเส้นเขาที่มีไร่ของชาวบ้านแทรกอยู่เป็นระยะ  เห็นเพิงพักของชาวบ้านก็ชวนกันกินข้าวกลางวันกันที่นี่  แต่ก็เปลี่ยนใจกันไปกินหาที่กินกันใกล้ ๆ  แหล่งน้ำข้างล่าง  ผมถามชาติว่าลำธารที่เราจะลงไปอยู่ตรงไหน  มันตอบหน้าตาเฉยว่าไม่รู้ครับ เดินลงไปข้างล่างอาจจะเจอ  ...อ้าว...  ดูมันพูด ตกลงมันไม่รู้ทาง แต่พาพวกเรามาด้วยสัญชาติญาณ  ไม่รู้กรรมจะสนองผมหรือเปล่า เพราะตอนที่เจ้าต้น เจ้าเติ้ล มันอยากเดินป่า ถามเส้นผมก็บอกมันไปว่าไปทางทิศตะวันออก แล้วกลับทางทิศตะวันตก งานนี้ไม่รู้ว่าผมต้องใช้วิธีที่บอกมันไปหรือเปล่า????  เดินลงสันเขากันได้ซักพักก็ยังไม่เจอแหล่งน้ำ  ทนกันไม่ไหวเลนตัดสินใจหาที่เหมาะ ๆ  พักกินข้าวกัน

ข้าวเหนียว  น้ำพริก  ไก่ทอด  กุนเชียง เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกอีกมื้อหนึ่ง  ตามด้วยกาแฟ 1 กระป๋อง  เรียกความกระปรี้กระเปร่าให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง  ช่วงที่นั่งพักหลังอาหารเจ้าชาติก็ซุกซนขุดหน่อไม้เล็ก ๆ  เพื่อไว้เป็นอาหารเย็นที่บ้าน ผมปลูกไว้ที่สวน เกือบสิบไร่ ไม่เห็นมันคิดจะไปขุดกิน มันบอกว่าหน่อไม้ชนิดนี้อร่อยมากๆ  จากนั้นเราก็เดินตัดลงหุบเขาข้างล่างเพื่อหาลำธารอีกครั้ง  ในที่สุดช่องเขาลูกหนึ่งเท้าก็เหยียบกับพื้นที่ฉ่ำน้ำ  ผมหวังว่าตรงนี้จะเป็นจุดกำเนิดของลำธารสาขาของห้วยแม่กะแซอย่างที่ชาติบอกไว้  เดินไปประมาณสิบก้าวก็เริ่มเห็นสายน้ำไหลออกมา  เหมือนตรงจุดที่เราจะปีนภูเขาขึ้นมา  เจ้าชาติบอกว่าเราต้องเดินตามน้ำไปเรื่อยก็จะถึงห้วยใหญ่เอง  มันก็แน่ละวะ!
จากน้ำที่ค่อย ๆ ซึมออกมาจากพื้นดินเดินห่างจากจุดนั้น  ไม่กี่ก้าวน้ำก็เริ่มมีปริมาณมากขึ้นเรื่อย  ผมมั่นใจว่าอย่างไรเสียก็ต้องเดินถึงห้วยใหญ่แน่นอน  แต่ระยะทางจะใกล้-ไกลขนาดไหนคงตอบไม่ได้  พวกเราเดินอย่างไม่รีบร้อน  ดูเฟินกันไปเรื่อย ๆ  เฟินก็จะเป็นชนิดเดิม ๆ ที่เห็นเกือบเต็มก็จะมีพวก  ฟิล์มมี่เฟินที่เป็นเฟินที่ใบบางที่สุดในโลก  เฟินกีบแรด  ที่นี้มากมายซะจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา  บางครั้งก็จะเห็นเฟินหางนกหว้า กับเฟินข้าหลวง ที่ไม่เหมือนที่ขายอยู่ทั่วๆ ไปใบเรียว และคอดที่ปลายใบ อยู่บนคาคบไม้บ้างเป็นระยะ  เส้นทางในช่วงนี้เป็นทางเดินลงมาที่สูงซะส่วนใหญ่  ต้องป่ายปีนกันลงมาตรงทาง ช่วงไหนที่เป็นชั้นน้ำตกสูง  ๆ ก็ต้องระมัดระวังกันมากหน่อย  ขาเริ่มอ่อน  รองเท้าเริ่มหนักขึ้นทุกที  บางช่วงเจอกับลำธารอีกสายมาบรรจบกัน  อยากจะเดินทวนน้ำขึ้นไปดูเหมือนเดิมแต่ติดที่ว่าถ้าเราเดินกันจนเพลิน  จนลืมเวลาถ้าเป็นย่ำขึ้นมาก็จะลำบากกันใหญ่  มีช่วงหนึ่งชาติกับเก่งเดินทวนน้ำจากลำธารอีกสายที่มาบรรจบกัน ก็เจอเข้ากับเฟินอาลาบาด่างต้นสูงใหญ่มาก  ก็เลยต้องจับคนที่ตัวใหญ่อย่างเก่งมาถ่ายรูปเปรียบเทียบกันดูว่าใหญ่จริงๆ เดินต่อมาได้อีกซักระยะ  ผมก็เจอเฟินในสกุล Athyruim  เป็นเฟินที่ก้านใบค่อนข้างใหญ่  ใบเป็นแบบใบประกอบขนนก 3 ชั้น  ความกว้างของใบโดยรวมมีความกว้างมาก  ถึงแม้ว่าเหง้าจะไม่สูงมากเห็นครั้งแรกคิดว่าเป็นเฟินในสกุลหัสดำ  ผมพบเฟินชนิดนี้บริเวณนี้แห่งเดียวแล้วไม่พบบริเวณที่ใกล้เคียงอีกเลย
เดินกันไปเรื่อย ๆ  ถึงแม้ว่าจะอ่อนล้าลงมาแต่เท้าที่เดินแช่น้ำอยู่ตลอดเวลา  ทำให้พวกเราผ่อนคลายได้บ้าง  เราเดินกันถึงช่วงหนึ่งซึ่งเป็นลักษณะหาดทรายกว้าง ๆ  ผมได้ยินเสียงเหมือนน้ำประปาไหล  ซึ่งมีเสียงดังผิดกับน้ำที่ไหลในลำธาร  เดินไปตามเสียงก็พบเข้ากับสิ่งมหัศจรรย์ในธรรมชาติ  บริเวณพื้นมีหลุมที่ยุบลงไป  กว้าง ยาว ลึก ประมาณ 1 เมตร  และตรงผนังดินที่ยุบตัวลงไปมีช่องที่น้ำไปไหลออกมาเหมือนน้ำประปาเป็นน้ำที่ไหลมาจากใต้ดินครับ  ดูใสและสะอาดมาก  ผมลองชิมดูรสชาติเหมือนกับน้ำขวดที่ขายอยู่ในเมืองไม่มีผิดเพี้ยน  คงจะผ่านการกรองจากชั้นพื้นดิน ทราย มาเป็นอย่างดีให้ ทุกคนไม่แน่ใจว่าใช้ดื่มได้ ผมเลยทำให้ดู จากนั้นก็เติมใส่กระติกน้ำไว้แก้กระหายระหว่างเดินทางกลับ
เดินคุยเรื่องเฟินกันไปเรื่อย ๆ เริ่มเห็นท่อประปาที่ต่อไปใช้เป็นประปาภูเขาก็มั่นใจว่าไม่หลงแน่นอน  แต่เสียงฟ้าร้องที่ได้ยินมาด้านบนทำให้พวกเรารีบเดินกันเร็วขึ้น

15.00 น.  พวกเราก็เดินมาบรรจบกับห้วยใหญ่  ทิ้งรอยเท้าไว้เบื้องหลัง  แต่เก็บความทรงจำที่ประทับใจไว้อีกนานเท่านาน ผมรู้สึกอาลัยอาวรกับผืนป่าที่อยู้ด้านหลัง ทริปนี้ไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อย  ลำบากแค่ไหนก็ไม่มีใครย่อท้อความประทับใจในพื้นป่าที่ทรงคุณค่า  คงจะบรรยายเป็นตัวหนังสือหรือรูปภาพไม่ได้ทั้งหมด  หลายอย่างยังคงอยู่ในใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือได้  เข้าป่าทุกครั้งผมจะมีความรู้สึกหวงแหนในธรรมชาติเพิ่มอีกเป็นเท่าทวีคูณ ทุกคนที่ร่วมเดินทางในวันนั้นก็คงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผม

_______________________________________________________________________