หลังจากแก็งค์สุราสัญจรจดจ้องมานานว่าจะไปเที่ยวอุ้มผางกัน ในที่สุดก็ได้กฤษ์ยามที่เหมาะสมแกการเดินทางคือทุกคนว่าง ผู้ร่วมเดินทางครั้งนี้ประกอบด้วย เก่ง (ร้านคนรักษ์ไม้) พงษ์ ไก่ (ผู้ที่ตั้งฉายาผมว่าเสือเฒ่า)

ออกเดินทางตั้งแต่คืนวันศุกร์ตามแบบฉบับของผมคือพักน้อยที่สุด ระยะทางประมาณ 700 ก.ม. ไม่ต้องพักกัน หกโมงเช้าพอดีก็ถึงสวน ผมขับรถเลยไปบอกมือขวาของผมว่ามาถึงกันแล้วข้าวปลาอาหารเตรียมให้พร้อมเพราะอดนอนกันมาทั้งคืน จากนั้นก็ย้อนกลับทางเดิมเข้าสวน ช่วงเช้าตรู่แบบนี้หมอกลงจัด ทุกคนยังตื่นเต้นกับบรรยายากาศและความเย็น ผมไม่ฟังเสียงใครจัดการกางเต็นท์นอน กะว่าจะหลับจนว่าจะนอนในเต็นท์ไม่ได้จนแล้วจนรอดก็นอนไม่หลับ เลยต้องลุกขึ้นมาเดินดูเฟินที่อยู่ตามจุดต่างๆ ในสวน

หลังจากอิ่มหนำกับอาหารตามแบบฉบับของคนบ้านป่า ซึ่งทุกคนถึงกับเอ่ยปากชมว่านี่แหละที่ต้องการ บรรยายากาศของป่าเขา อาหารที่ทำง่ายๆ จากวัตถุดิบแถวนั้น รสชาดถึงใจ กินกันจนลืมอิ่ม จากนั้นทุกคนแยกย้ายไปทำกิจกรรมของตัวเอง บางก็เดินดูเฟิน บ้างก็หลบไปนอนในเวิ้งถ้ำ

ขอข้ามมาถึงค่ำคืนนี้เลยก็แล้วกัน หลังจากพลาดหวังจากการกินปลาเนื้อหวานๆในลำห้วยแม่กลองที่ไหลผ่านสวน ทั้งๆ ที่เตรียมคันเบ็ดกันมาอย่างดี (เสียชื่อพรานเบ็ดเมืองกรุงหมดเล้ย) ก็เลยตกลงกันว่าจะเผาข้าวหลาม และย่างหมู-ไก่กินกัน เจ้าชาติไปชวนสองสามีภรรยา พี่สาวพี่เป ขาฮาประจำวงของเรามาด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติในค่ำคืนนี้ บรรยากาศที่รื่นรมย์กับพรรคพวกที่คุยกันถูกคอก็คุยกันเลยมาถึงปากถ้ำที่อยู่ในสวน เล่ากันไปกันมาก็เลยตกลงว่าจะชวนกันไปดูความงามในถ้ำที่ว่ากัน ซึ่งปกติในฤดูฝนจะมีน้ำไหลออกมาจากถ้ำ ตอนนี้หน้าแล้งจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเข้าไปชมกัน เพราะไหนๆก็อุตส่าห์เดินทางกันมาตั้งหลายร้อยกิโลเมตร ผมเองปากถ้ำอยู่ในสวนก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปซักทีก็เลยถือโอกาสเข้าซะวันพรุ่งนี้เลย

เช้าวันใหม่ทุกคนเตรียมพร้อมทั้งมีดเอาไว้นำทาง ปืนไว้ป้องกันตัว ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือไฟฉายกับเทียน รวบรวมสมัครพรรคพวกก็มีชาติ พี่เป พี่สาว เจ้าปาล์ม เก่ง พงษ์ ไก่ ผมเอง แล้วคนงานในสวนอีก 5 คน เดินผ่านสวนส้มก็เก็บส้มติดไปด้วยเผื่อกระหายระหว่างอยู่ในถ้ำ เดินไปจนสุดสวนส้มก็ถึงปากถ้ำที่ในหน้าฝนมีน้ำไหลออกมา แต่ตอนนี้แห้งสนิท ชาติกับพี่สาว เข้าไปที่ปากถ้ำช่วยกันหาทางเข้าเพราะมีซอกหลืบมากมาย ผมเองก็ไปก้มๆ เงยๆ เหมือนกัน แต่คนที่เคยเข้าก็ยืนยันมามีทางเข้าแน่นอน เอ!..หรือว่าเป็นเมืองลับแล

ไม่เอาแล้วครับ ตกลงไปหาทางเข้ากันใหม่ เดินอ้อมภูเขาลูกนี้ไปอีกหน่อย ผ่านไร่ข้าวโพด ไร่ข้าวของม้ง ก็ทยอยปีกันขึ้นไป นำโดยชาติกับพี่เป กำกับโดยพี่สาว หลังจากหักล้างถางพง โดนหนามเกี่ยวกันพอสมควรก็เจอปากถ้ำ...แต่...ผิดครับ คนนำทางก็แก้เก้อว่าไม่ได้มาหลายปีแล้ว ไม่ว่ากัน จากนั้นก็เดินลัดเลาะกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เจอครับ เห็นปากถ้ำก็อลังการณ์แล้วครับ แต่ไอตรงที่จะเดินไปปากถ้ำนี่ซิ มันเหมือนกับสะพานหินท่อนเดียว แถมต้องมุดช่องเล็กๆ ก่อนปากถ้ำจริงๆ อีก ซ้ายภูเขา ขวาเหว ตกลงไปก็ไม่รู้สึกหรอกครับ แต่อาจหมดสติไปเลย ค่อยๆ เดินกันทีละคน ในที่สุดก็มถึงปากถ้ำจริงๆ แล้วก็เจอของจริงอีกครั้งนึง ที่ปากถ้ำเป็นเหวครับท่าน ลึกแค่ไหนไม่รู้เพราะมันมืด คือตรงจุดที่เรายืนกันเป็นเหวรอบตัวเลยครับ มีสะพานไม้ไผ่เก่า-ผุ ที่พวกเก็บขี้ค้างคาวพาดไปมา ระหว่างจุดต่าง เห็นแล้วนับถือเลยครับว่า จิตใจเด็ดเดียวกันจริง หลังจากทุกคนมาพร้อมกัน ดูชาติเป็นกังวลไม่น้อย ตอนเราจะต้องเดินผ่านจุดที่จะต้องลงไปที่ลานกว้างของถ้ำ แต่เป็นจุดที่อันตรายที่สุดเพราะมีทางเดินแค่เท้าเหยียบได้เท้าเดียว ด้านนึงเป็นหินที่ไม่มีที่ให้มือเกาะ อีกด้านเป็นเหวที่ลึกแค่ไหนก็ไม่รู้ ที่เท้าเหยียบมีไม่ไผ่เก่าๆ ผุๆ อยู่ 2 ท่อน แต่ไม่มีใครเสี่ยงที่จะเหยียบ จุดนี้ถ้าพลาด ผมว่าให้กระดูกเหล็กอย่างไงก็ไม่เหลือครับ เราต้องอาศัยผู้กล้าคือพี่เป ข้ามไปก่อนหนึ่งคน จากนั้นคอยจับมือต่อๆ กัน ...ในที่สุดก็ผ่านมาได้ทุกคน

หลังจากนั้น ไฟฉายกับเทียนก้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน เราเริ่มเดินกันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะบรรยายความงามอย่างไร หินงอก หินย้อยดูแปลก ตา และซอกหลืบก็มากมาย ดูเหมือนว่าซอกต่างๆ จะเดินไปได้ทุกที่ แต่พวกเราก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางที่กว้างใหญ่ ไม่เสี่ยงกับการหลงถ้ำจะดีกว่า เส้นทางที่เดินในถ้ำเป็นเส้นทางน้ำไหล กว้างบ้างแคบ บางช่วงก็เป็นเพดานถ้ำกว้างใหญ่มาก แต่ต่ำเสียจนต้องคลานเข้าไป นี่ถ้าเป็นช่วงน้ำหลากแล้วใครหลงเข้ามาจะเป็นไง นึกภาพแล้วสยอง ผมไม่รู้จะบรรยายความสวยงามอลังการณ์ความสวยงามของถ้ำนี้ได้ไง แปลกและงดงามจนบอกไม่ถูก บางช่วงมีหินงอกหินย้อยลงมาเหมือนเสา บางทีก็เหมือนผุดขึ้นมาจากดิน บางช่วงก็ย้อยลงมาเหมือนจะกั้นให้เป็นห้องๆ บางช่วงก็เหมือนน้ำตก บางช่วงเหมือนอ่างน้ำ จิตนาการกันไม่หวาดไหว บางช่วงก็มี้างคางเกาะอยู่ตามเพดาถ้ำ กล้องที่ผมกับเก่งใช้เป็นกล้องคอมแพ็คธรรมดา อีกทั้งฝีมือด้านถ่ายภาพแต่ละคนก็ไม่ได้เรื่อง ภาพที่ถ่ายออกมาก็เลยดูไม่ค่อยได้ ถ้ามีมืออาชีพจัดแสงจัดไฟแล้วถ่ายภาพออกมาคงมีความงามไม่แพ้ที่อื่นแน่ๆ

ตลุยป่ากันขึ้นไป

ช่วงนี้ก็หวาดเสียว

เรียงแถวเตรียมมุด

เห็นคนลิบๆ อยู่ข้างล่าง เราต้องลงไปตรงนั้นแล้วต้องไต่ลงไปอีก

 

มีเรื่องที่ติ่นเต้นเล็กน้อยระหว่างที่เราเดินในถ้ำ บางช่วงเป็นดินมราบละเอียดที่ยังเปียกอยู่ สังเกตุเห็นรอยเท้าสัตว์ชนิดนึง คนบ้านป่าหลายคนที่มาด้วยกัน บอกว่าน่าจะเป็นรอยของหมีชนิดนึง เริ่มหวาดหวั่นเหมือนกัน มีปืนก็ไม่รู้ว่ากระสุนด้านหรือเปล่า แต่ดูรอยเท้าแล้วก็คงตัวไม่โตซักเท่าไหร่ ท่าทางก็คงจะผ่านมาหลายวันแล้ว ถ้ามันไม่อิ่มนอนรอเรามาเยี่ยมก็คงเดินไปถึงไหนๆ แล้ว

ไม้ไผ่ที่ชาวบ้านนำมาทำเป็นสะพานเพื่อเก็บขี้ค้างคาว

ต่อคิวลงปากถ้ำ

ด้านซ้ายมือของลุงคนนี้คือเหวในถ้ำ

ด้านล่างมีขี้ค้างคาวหนามาก

       

 

เราเดินชมความงามกันไปเรื่อยๆ ล้มลุกคลุมคลานไปเรื่อย เพราะเป็นทางน้ำไหลจึงมีหินที่พัดมากะบน้ำตลอดทางเดิน บางช่วงก็เป็นทรายละเอียด

       

บางช่วงต้องปีน ต้องคลาน ต้องมุด บางทีปีนเพื่อขึ้นไปคลานก็มี ได้รสชาติหลายแบบ สิ่งที่ทุกคนกลัวก็คืองู กลัวว่าเจ้าตัวยาวๆ จะมาหาที่สงบนอนในถ้ำ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเหลือเกินเรื่องงู

กลัวจะร่วงลงมา

รอยเท้าหมี

ธรรมชาติช่างสร้าง

เหมือนอ่างน้ำ

       

นี่ก็ช่างสร้าง

ปีนเพื่อขึ้นไปคลาน

ตัวอะไรก็ไม่รู้อยู่ในถ้ำที่ไม่มีแสงเลย

น่าสงสารที่สุดก็คนนี้ ตัวโตกว่าเพื่อน

ถ้ำนี้จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ที่นั่นว่าเป็นถ้ำที่ยวันยาวมากๆ จนไปทะลุเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง และมีทางออกได้หลายทาง ถ้าจะสำรวจให้ทะลุปุโปร่งต้องใช้เวลาหลายวัน ชาติกับพี่สาวก็พยายามหาทางออกเพื่อไปออกด้านสวนไทเฟินเลย ถึงแม้ว่าจะมาถูกทาง เพราะสังเกตุจากมีลมพัดผ่านเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถออกได้เพราะน้ำป่าเมื่อปีที่แล้วได้พัดพาตะกอนดินมาอุดทางที่เราจะมุ่งหน้าไปกัน นี่ไงครับ ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ในน้ำมีตะกอนดินมากกว่าทุกปีผู้นำทางจึงตัดสินในพากันกลับทางเดิม

       

ตรงนี้ก็เป็นธารน้ำไหลที่กว้างมาก แตเพดานต่ำเหลือเกิน

เนินทราย

ดูเหมือนก้อนน้ำแข็งขั้วโลก

กำลังปีนหาทางออก

เดินกลับทางเก่า ผู้นำทางบอกว่ากลับทางเดิมมันเสี่ยงเกินไปเพราะต้องเกาะหน้าผากันอีก เลยพยายามหาทางออกกันใหม่ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ทางเข้า

ทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

เลือกที่จะอึดอัดดีกว่าขาสั่น

ในที่สุดก็พบทางออกจากแสงที่ส่องลงมา ทุกคนโล่งอกที่ไม่ต้องกลับทางเดิน ถึงทางออกจะแคบ แต่ยอมอึดอัดดีกว่ายืนขาสั่นริมหน้าผา ท่านผู้อ่านว่าจริงมั๊ยล่ะ.........และแล้วทุกคนก็กลับออกมาสู่โลกภายนอกได้อย่างปลอดภัย

 

 

__________________________________________________