หลังจากจดจ้องกันมานานว่าจะเข้าป่าที่เขาใหญ่ด้านปราจีนฯ กัน ทีมงานแก่แต่เก๋าส์ ก็รวบรวมสมัครพรรคพวกได้ 6 คน
เตรียมพร้อมกันเต็มที่ แต่พอถึงวันเข้าจริงๆ พรรคพวกของพี่ประเสริฐที่เขาใหญ่ก็โทรฯมาบอกว่า ฝนบนเขาตกหนักต้อง
เลื่อนเวลาการเข้าป่าออกไปอีก ขืนไปตอนนี้มีหวังได้เละเทะ สะบักสะปอม ดูไม่จืดกันแน่  เพราะครึ่งหนึ่งของทีมงานรวม
ทั้งผมด้วย ล้วนอ่อนหัดต่อป่าเขาด้วยกันทั้งนั้น.....หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ให้หลังผมตัดสินใจที่จะขึ้นเขาอย่างแน่นอน ถึง
แม้ว่าจะเพิ่งฟื้นจากอาการท้องเสีย และเป็นไข้ คนรู้ใจของผม รู้ว่าผมต้องเข้าป่าแน่ๆ ก็บำรุงผมเป็นการด่วนเลยครับ....
พรรคพวกที่เดิมทีมี 6 คน ตอนนี้ก็เหลือกันแค่ 3 คน ...เหลือแค่ไหนก็ต้องไปละครับ ไม่อยากให้ต้องเลื่อนออกไปอีก
 
 
 
 
 
 
หลังจากนัดแนะเวลากันเป็นที่เรียบร้อยว่าเจอกันที่เชิงเขาใหญ่ บ้านพี่ประเสริฐตอนตี 4 แต่เอาเข้าจริงผมมาตื่นนอนตอนตี 3
ครึ่ง รีบตาลีตาเหลือกออกจากบ้านทันที กว่าจะถึงบ้านพี่ประเสริฐก็ปาเข้าไปตั้ง 6 โมงเช้า ...ช้าไป 2 ชั่วโมง ผมต้องขอโทษ
ขอโพยเป็นการใหญ่ แต่ทุกคนก็ไม่เอ่ยปากว่าอะไรผมเลยซักคำ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมาก ๆ
 
เข้าป่าครั้งนี้อย่างที่บอก เราไปกันแค่ 3 คน  หัวหน้าทีมครั้งนี้คือ พี่ประเสริฐ ผู้มากน้ำใจ อดีตหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าแห่ง
หนึ่งของเขาใหญ่ พี่เค้าเชี่ยวชาญป่าเขาใหญ่ด้านประจันตคาม ชนิดหาตัวจับยากจริงๆ แบบที่ว่ากลางคืนเดือนมืดพี่ท่านยัง
เดินกลับบ้านได้โดยไม่หลงทางเลยครับ ซึ่งในปัจจุบันหันมาเอาดีทางเพาะชำต้นไม้ไทยขาย และรับจัดสวน ฝีมือไร้เทียม
ทาน  โดยเฉพาะพันธุ์ไม้ไทยแท้ พี่แกสะสมไว้มากมาย ขนาดที่ว่าอาจารย์ที่ทำหนังสือจำพวกต้นไม้ยังต้องตามไปดูต้นไม้
ที่บ้านเลย    ถัดมาเป็นรองหัวหน้าทีมคือ เจ้าดื้อ หลานชายแท้ ๆ ของพี่ประเสริฐ เจ้าดื้อเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ บึกบึน
ห้าวหาญ คล่องแคล่ว นิสัยอาจจะดื้อในสายตาผู้ใหญ่  แต่กับผมเจ้าดื้อมีน้ำใจกับผมตลอดเวลาผู้ร่วมชะตากรรมสุดท้ายก็คือ
ผมเองครับถือว่าอ่อนประสบการณ์ป่าที่สุดในทีม

พี่ประเสริฐบอกจุดหมาย และการเดินทางคร่าวๆ ว่าเราจะเดินทางลัด ซึ่งเป็นการเดินแบบบุกป่าฝ่าดงตัดทางไปเอง เพื่อเป็น
การย่นระยะทาง และเวลา  เราจะต้องเดินให้ถึงโค้งสุริยันให้เร็วที่สุด
โค้งสุริยันที่ว่านี้จะเป็นหน้าผาลักษณะยาวโค้งเกือบ
 
ครึ่งวงกลม จากนั้นก็ต้องปีนเขาที่หน้าผาสุริยันอีกนิดหน่อยเพื่อขึ้นให้ถึง"เขาสมอปูน" ซึ่งเส้นทางที่พวกเราต้องเดินกันนี่นะครับ ไม่ใช่เส้นทางที่นักท่องเที่ยวทั่วไป
เดินกัน ผมได้ฟังแล้วใจฝ่อไปเลยทีเดียว ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดครับ เขาสมอปูนที่ว่านั้น ผมเคยอ่านข้อมูลจากหนังสือประเภทท่องเที่ยว เค้าบอกว่าบนเขาสมอปูนเป็น
ส่วนหนึ่งของ อช.เขาใหญ่ ลักษณะบนเขาเป็นที่ราบคล้ายภูกระดึงมีสังคมป่าหลายประเภท ทั้งลานหิน ป่าดงดิบ ถ้าอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมคงต้องไปหาอ่านกันเองนะ ส่วนตัวผมเองได้ยินกิติศัพท์ความสวยงามที่นี่มานานแล้ว..
 
8.00 น. พี่วิเชียรขับรถไปส่งเรา 3 คนที่ บริเวณไร่ร้างที่ถูกเวณคืนเพื่อสร้างเขื่อนชล
ประทาน อีกไม่นานบริเวณที่ผมเดินอยู่ต้องจมอยู่ใต้น้ำช่วงนิรันดร์ คราวนี้ NGO หาย
ไปไหนกับหมดล่ะครับ....พวกเราเดินผ่านไร่ร้าง และป่าโปร่ง แบบสบายๆไม่นานนักเรา
ก็ถึงลำห้วยสายหนึ่ง พี่ประเสริฐชี้ให้ดู ต้นชมพูนุช ที่ออกดอกบานสะพรั่ง กลิ่นหอมมาก  ดอกของต้นไม้ชนิดนี้เหมือนกับดอกเข็ม ที่ปลายดอกเป็นสีชมพูต้นไม้ชนิดนี้ถ้าจะหาชื่อใน
หนังสือปัจจุบันนี้คงหาไม่ได้หรอกครับโน่น!ต้องไปค้นหาในหนังสือเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว
ซึ่งหายากเต็มทน... เราหยุดพักใต้ต้นชมพูนุชดื่มน้ำท่า แล้วก็ออกเดินทางกันต่อเส้นทาง
เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ  ผมเริ่มหายใจถี่ และแรงขึ้น นี่แค่เริ่มต้นเองนะนี่  ระหว่างทางพี่
ประเสริฐชี้ให้ดูต้นไม้ไทย ที่ผมจำได้ก็มี มังตาน บุนนาค ก่อ กระเจียน ขนมพ แก้วมุกดา เจ้าแก้วมุกดานี่ก็หาในหนังสือปัจจุบันไม่เจอเหมือนกันครับ ต้องไปค้นหาในหนังสือเมื่อ
30 กว่าปีที่แล้วเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ยังมีต้นสายน้ำผึ้ง(ป่า) ไม่เหมือนกับที่เราปลูกกัน
ทั่วไปนะครับ เป็นไม้รอเลื้อยขนาดใหญ่ ลำต้นคด งอเหมือนเถาวัลย์ ออดดอกตามลำต้น
มีกลิ่นหอม ผลสุกของต้นไม้ชนิดนี้ พวกสัตว์ป่าชอบกันนัก....ยังมีต้นไม้เล็กๆ อีกหลาย
ชนิด เช่น ข้าวหมาก กำลังออกลูกสีส้มสด กล้วยอีเห็น กล้วยอ้ายพอน กล้วยหมูสังสีนวล....ระหว่างที่ดูพันธุ์ไม้ไทย สายตาผมก็สอดส่าย
หาเฟินไปด้วย สิ่งที่เห็นมากมายละลานตาอีกอย่างก็เห็นจะเป็นพวกกล้วยไม้สารพัดชนิด ผมเองก็ไม่รู้จักชื่อหรอกครับ ที่นี่มีมากมายจริงๆ
พี่ประเสริฐบอกผมว่าถึงแกคุ้นเคยกับป่าแถบนี้ดี แต่ก็ไม่ค่อยรู้จักเฟินนัก  ถ้าเจอเฟินช่วยบอกให้แกดูด้วย...เอาละซิรู้แบบ งูๆ ปลาๆ อย่างผม
จะรู้จักและอธิบายให้พี่ท่านฟังได้ถูกต้องมั้ยนี่...ไม่ผิดหวังครับผมเจอ เฟิน Bolbitis oppendiculata (willd.) tc.imats.
 
อยู่ในวงศ์ Lomariopsidaceae ใบสีเขียวเข้มก้านใบที่เกิดสปอร์ตั้งตรง อับสปอร์
เกิดเป็นแผ่นสีดำเห็นชัดเจน ผมเห็นกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณนั้นหลายต้น ใกล้กันนั้น
ผมก็เห็นกูดควาก หรือกดูกวาง ใบค่อนข้างใหญ่สีเขียวเข้ม ตรงกลางเส้นใบมีสีเหลือง
เรื่อยๆ ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ  พวกเราเดินผ่านป่าโปร่ง สลับกับป่าไผ่ไปเรื่อยๆ เรี่ยวแรง
ผมเริ่มหมดแรงลงทุกที ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน ร่ำๆ เหมือนจะเป็นลม  ในที่สุดประมาณ




 
11.00 น. พวกเราก็หยุดพักกินข้าวเช้าที่เตรียมกันมาจากบ้านพี่ประเสริฐที่ลำห้วยสายหนึ่ง พอเรานั่งกัน เจ้ายุงทั้งหลายก็ทิ้งบอมบ์พวกเราทันที เจ้าดื้อก็ก่อไฟเพื่อไล่ยุ่ง
อย่างรู้งาน
ก็พอได้ผลอยู่บ้าง ระหว่างที่นั่งกินข้าวผมมองไปทางต้นไม้เหนือลำห้วยก็เห็นเฟินนาคราชญี่ปุ่นเกาะอยู่บนต้นไม้หลายต้น
ยังเห็นเฟินเจ้างูเขียวใหญอยู่บนต้นไม้
เดียวกันอีกได้เห็นเฟินที่อยู่ตามธรรมชาติแล้วรู้สึกชื่นใจจริงๆ ครับ...หลังจากอิ่มหนำสำราญกันดีแล้วพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ ผมไม่ลืมที่จะเติมน้ำใส่ขวดเล็กๆ ที่ได้รับ

แถมจากการเติมน้ำมันที่ปั๊มระหว่างทาง การเดินป่าในครั้งนี้พวกเรา 3  คนก็มีน้ำสำหรับอยู่ติดตัวแค่นี้หล่ะครับ เวลากระหายน้ำ ก็กินน้ำในลำธารถ้าช่วงที่อยู่ห่างจากแหล่ง
น้ำก็กินจากขวดที่ว่าแบ่งกันคนละนิดพอให้ชุ่มคอ แต่เราก็ไม่พยายามเดินห่างจากแหล่งน้ำมากนัก....
 
พี่ประเสริฐนำทางเราตัดขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ผมเดินอยู่กลาง เจ้าดื้อปิดท้ายเหมือน
เดิม เวลาผมเดินช้า เจ้าดื้อจะต้องรอทุกครั้ง ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะเดินแซงออกหน้า
ผมไป เวลาผมหยุดเจ้าดื้อก็หยุด ที่แหละครับน้ำใจของคนเดินป่า คนที่แข็งแรงกว่าก็
จะคอยดูแลปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ ซึ้งน้ำใจครับ......... พวกเราผ่านทั้งป่าทึบ
และป่าโปร่ง ในบริเวณป่าโปร่งเราจะเห็นลิเภาพันอยู่ตามกิ่งไผ่ และต้นไม้อื่นๆ อยู่
เป็นระยะ...ช่วงหลังผมไม่มีอารมณ์จะดูเฟินมากนัก เพราะเส้นเริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆ
พี่ประเสริฐคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลาว่าอีกไม่ไกลนักก็จะถึงโค้งสุริยันแล้วแต่ผม
แหงนมองดูแล้วโค้งสุริยันที่ผมจะต้องเดินให้ถึงก่อนที่จะขึ้นเขาสมอปูนนั้นมันไม่
ใกล้อย่างที่พี่ประเสริฐบอกเลยครับ....ในบางช่วงที่ต้องเดินในที่สูงชัน 40-60
องศา ผมหยุดพักถี่ขึ้น ขาแข้งผมตึงไปหมด อยากจะบอก
 
พรรคพวกเหลือเกินว่าไม่ต้องให้ถึงเขาสมอปูนได้มั้ย แต่ก็กลัวว่าทุกคนที่ตั้งใจพาผมเข้าป่าจะเสียน้ำใจ ก็เลยต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป...ระหว่างทางเดินได้ยินเสียงน้ำตก
ไหลดังกระทบหินอยู่ตลอดทาง ช่วงที่ไม่ดังนักคงเป็นน้ำตกเล็กๆ แต่บางช่วงก็ได้ยินเสียงน้ำดังสนั่นหวั่นไหวพี่ประเสริฐบอกว่าเป็นน้ำตก"เปลวสุริยัน" หรือที่ชาวบ้านเรียก
ว่า"น้ำตกซับกระถิน"
เนื่องจากว่าเป็นน้ำที่ไหลมาจากห้วยซับกระถิน บนเขาสมอปูนโน่น! แต่เราก็ไม่มีเวลาที่จะแวะชมความงามกัน เนื่องจากต้องใช้เวลานานพอสมควร
เพราะต้องบุกป่า ปีนหน้าผาเข้าไป ี่พี่ประเสริฐยังเล่าให้ฟังอีกว่าทางกรมป่าไม้นั่งเฮลิคอปเตอร์สำรวจป่าแล้วมาพบน้ำตกนี้เข้า และพยายามที่จะให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เขามา
สำรวจเพื่อเก็บข้อมูลแต่ก็ยังเข้าไม่ถึง และได้เคยขอให้พี่เค้านำทางเพราะชำนาญพื้นที่แถบนี้มาก
 
พี่ประเสริฐบอกว่าเป็นน้ำตก"เปลวสุริยัน" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า"น้ำตกซับกระถิน" เนื่องจากว่าเป็นน้ำที่ไหลมาจากห้วยซับกระถิน
บนเขาสมอปูนโน่น! แต่เราก็ไม่มีเวลาที่จะแวะชมความงามกัน เนื่องจากต้องใช้เวลานานพอสมควรเพราะต้องบุกป่า ปีนหน้าผาเข้า
ไป พี่ประเสริฐยังเล่าให้ฟังอีกว่าทางกรมป่าไม้นั่งเฮลิคอปเตอร์สำรวจป่าแล้วมาพบน้ำตกนี้เข้า และพยายามที่จะให้เจ้าหน้าที่ป่าไม
้เขามาสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลแต่ก็ยังเข้าไม่ถึง และได้เคยขอให้พี่เค้านำทางเพราะชำนาญพื้นที่แถบนี้มาก แต่พี่แกก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด โดยให้เหตุผลว่าถ้าทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวต้องมีการตัดเส้นทางเข้ามา ป่าก็วอดวาย ปัญหาต่างๆ ก็คงตามมาอีกไม่ใช่น้อย...    ประมาณบ่ายโมงถ้าผมจำไม่ผิดเราถึงหน้าผาที่เรียกว่าโค้งสุริยัน ณ จุดนี้เปรียบเสมือนบันไดขั้นสุดท้ายที่จะนำเราขึ้น"เขาสมอปูน"
โค้งสุริยันโดยสภาพคร่าวๆ มีความชั้นประมาณ 90 องศา ลักษณะเป็นหน้าผายาวหลายกิโลเมตร พวกเราเดินเลาะไปตามด้านล่าง
ของหน้าผาเพื่อหาจุดที่ป่ายปีนที่สะดวกที่สุด ในระหว่างที่เดินกันอยู่พี่ประเสริฐชี้ให้ดูเพิงผาเล็กๆ ที่มีร่องรอยการนอนของเลียง
ผาอยู่ นี่ถ้าพวกพรานรู้เขาละก็มีหวัง..?...เดินกันอยู่สักพักก็ถึงหน้าผาส่วนที่ช่วงสั้นที่สุดประมาณ 20 เมตรเห็นจะได้
 
พวกเรานั่งพักเอาแรงกันก่อนที่จะปีนกันขึ้นไปใน
ระหว่างหยุดพัก ผมแหงนมองไปที่หน้าผาเห็น
กูดเวียน-กูดอ้อม
ห้อยอยู่บนเถาวัลย์เส้นหนึ่ง มอง
ดูแล้วคงเป็นต้นที่ร่วงมาจากต้นไม้อื่น แต่มันก็
ปรับสภาพและเติบโตบนเถาวัลย์ได้อย่างงดงาม
ผมพยายามถ่ายรูปมาให้ดู แต่ก็ไม่ค่อยจะชัดเจน
นักเนื่องจากความร่มครึ้มของใบไม้...พักกันจน
หายเหนื่อยพวกเราก็ป่ายปีนหน้าผากันขึ้นไปที
ละคนไม่ลำบากมากนัก  พ้นจากหน้าผานี้ไปก็
เป็นทางที่เดินแบบสบายๆ เลาะไปตามลำห้วย
ซับกระถินไปเรื่อย ๆ พอนั่งพักเหนื่อยเป็นช่วง
เวลา ประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ พี่ประเสริฐก็บอก
ว่าพวกเราคือผู้พิชิตแล้วเขาสมอปูนแล้วได้ฟัง
แล้วได้ฟังแล้วผมรู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมาทันที
   
   
   
 
ีเลยครับ....ที่ริมห้วยซับกระถินร่มครึ้มเย็นสบาย ผมรู้สึกผ่อนคลายเพราะจากนี้ไปคงไม่ต้องเหนื่อยกับการปีนเขากันอีก เพราะบนเขาสมอปูนเป็นที่ราบ ถึงแม้ว่าไม่ราบเรียบแบบ
สนามกอล์ฟ แต่คงทำให้ผมเดินแบบไม่เหนื่อยมากนัก ระหว่างนั่งพักผมมองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งสายตาก็ไปสะดุดกับกูดเวียน-กูดอ้อมที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ มีอยู่มากมายหลายกอ
ครับเท่าที่จำได้ก็ไม่ต่ำกว่า 5 ต้น แต่ละต้นมองเห็นเหง้าสีทองใหญ่เท่าๆ กับข้อมือผู้ชาย ใบก็ยาวสัก 1.5 เมตรเห็นจะได้ รอบๆ ตัวที่ผมนั่งพักเหนื่อย ตามต้นไม้ และโขดหิน
ก็มี ตองเฟินอยู่เต็มไปหมด ใบสีเขียวเหลือบน้ำเงินสวยงามมาก มีมากมายเหลือเกินจริงๆ นอกจากนั้นยังมีเฟิน Asplenium pellucidum  มองดูเผินๆ เหมือนกับเฟินใบ
มะขาม พอพิจารณากันจริงๆ  เป็นเฟินที่อยู่สกุลเดียวกับเฟินข้าหลวงนั่นเอง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละครับบริเวณนี้ตามต้นไม้เฟินเจ้างูเขียวใหญ่ห้อยย้อยยาว 1 เมตรเห็นจะได
 
โขดหินริมน้ำผมเห็นฟิล์มมี่เฟิน ซึ่งเป็นเฟินใบบางที่สุดในโลกอยู่ด้วย แสดงว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ยังดีอยู่ เพราะขนาด
เฟินที่ค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมยังอยู่ได้อย่างสบาย พี่ประเสริฐบอกว่าจากนี้เราจะเดินกันแบบ
สบายๆ สำรวจเฟินกับไม้ไทยกันอย่างเดียว เดินกันไปเรื่อยๆ แบบว่าค่ำไหนนอนนั่น....พวกเราเดินจากลำห้วยตัดป่าดง
ดิบที่ร่มครึ้มตามพื้นดินมีแต่เฟินกนกนารี และมอส เหมือนเดินอยู่บนสนามหญ้า บางบริเวณก็พบเฟิน Oleandra
wallichii
  ใบยาวสัก 50 ซ.ม. คงจะได้ เดินกันสักพักก็ถึงที่ราบกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยโชนใหญ่ ที่พริ้วยามต้องลม
พัดขึ้นเป็นดงสุดลูกหูลูกตา ผมเดินอยู่กลางลานหินพบพันธุ์ไม้ยืนต้นที่ผมพอรู้จักก็มีพวก เต็ง รัง เสม็ด ตาด (ดอกส
ีชมพู กลิ่นหอมมาก) ที่เห็นแล้วอดแปลกใจไม่ได้คือที่นี่มี สนสอง หรือสามใบ นี่แหล่ะ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นชนิดไหนแต่
ที่แน่ๆ คือพันธุ์ไม้ชนิดนี้ต้องขึ้นในที่สูง และอากาศหนาวเย็น ผมเดินอยู่กลางลานหิน เหมือนกับเดินอยู่ในอุทยานหิน
เพราะมีโขดหินมากมายทั่วบริเวณ ที่โขดหินก็มีพวกเฟินเจ้างูเขียวใหญ่ใบค่อนข้างเหลือง เฟินนาคราชตัวเมีย นาค
ราชใบละเอียด
และนาคราชญี่ปุ่นใบเริ่มห่ออีกไม่นานก็คงหลุดร่วงไป มอสที่นี่บางส่วนก็เริ่มเหลืองไม่มองดูไม่สด
ชื่นเหมือนอยูในป่าที่ร่มครึ้ม ตามพื้นที่เดินก็มีพวกกนกนารีขึ้นอยู่ทั่วไป แต่ดูสภาพไม่ค่อยสดชื่นนักคงเป็นเพราะว่า
เริ่มเข้าสู่ฤดูแล้ง ตามต้นไม้ต่างๆ
 
เราก็มักจะพบกับเฟินนาคราชตัวเมีย นาคราชใบละเอียด นาคราชญี่ปุ่น และเฟินกระปรอกเล็ก มีมากมายหลายขนาด แต่ส่วนใหญ่เริ่มที่จะพักตัวหมดแล้ว เลยได้เห็นกัน
แต่ใบหุ้มเหง้าสีน้ำตาล และก้านใบที่หลุดร่วง ...หลังจากเดินอยู่กลางลานหินสักพัก เราก็เดินตัดเข้าป่าดงดิบอีกครั้ง ผ่านลำธารเล็กๆ ผมอดไม่ได้ที่จะเอามือวักน้ำขึ้นดื่ม
และลูบหน้าตาเพื่อความสดชื่น บริเวณนี้เฟินนาคราชตัวเมีย นาคราชใบละเอียด นาคราชญี่ปุ่น เฟินเจ้างูเขียวใหญ่ เฟิน Oleandra wallichii ค่อนข้างสดชื่นเขียว
ขจี  จากนั้นก็เดินกันต่อจากนั้นก็วกกลับสู่ดง
โชนใหญ่อีกครั้ง เพื่อเข้าป่าดงดิบอีกด้านหนึ่ง พอมาถึงช่วงรอยต่อระหว่างป่าดงดิบกับทุ่งหญ้าเราก็พักกันที่ลำธารแห้งสาย
หนึ่ง พี่ประเสริฐตาไวมากมองเห็น
ระย้ายมโดย ห้อยย้อยอยู่บนต้นไม้ ประมาณด้วยสายตาคงยาวประมาณ 5 นิ้ว ถึงจะสั้นแต่ที่ปลายก็มีพู่ครับ และที่กลางลำต้นก็มี เฟิน
เชือกผูกรองเท้า
เกาะอยู่หลายกอ บริเวณโขดหินที่เรานั่งก็มี
ฟิล์มมี่เฟินขึ้นอยู่เต็มโขดหิน ผมอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ ....พักกันพอหายเหนื่อยเราก็เดินตัดทุ่งโชนใหญ
เข้าป่าดิงดิบอีกด้านหนึ่ง เราหาที่พักเพื่อต้มกาแฟกินเรียกความสดชื่น
ได้ที่เหมาะเจาะเป็นโขดหินปกคลุมไปด้วนมอสเขียวขจี
 
จากนั้นก็เดินกันต่อจากนั้นก็วกกลับสู่ดงโชนใหญ่อีกครั้ง เพื่อเข้าป่าดงดิบอีกด้านหนึ่ง พอมาถึงช่วงรอยต่อระหว่าง
ป่าดงดิบกับทุ่งหญ้าเราก็พักกันที่ลำธารแห้งสายหนึ่ง พี่ประเสริฐตาไวมากมองเห็น
ระย้ายมโดย ห้อยย้อยอยู่บน
ต้นไม้ ประมาณด้วยสายตาคงยาวประมาณ 5 นิ้ว ถึงจะสั้นแต่ที่ปลายก็มีพู่ครับ และที่กลางลำต้นก็มี เฟินเชือกผูก
รองเท้า
เกาะอยู่หลายกอ บริเวณโขดหินที่เรานั่งก็มี
ฟิล์มมี่เฟินขึ้นอยู่เต็มโขดหิน ผมอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ ....
พักกันพอหายเหนื่อยเราก็เดินตัดทุ่ง
โชนใหญ่เข้าป่าดิงดิบอีกด้านหนึ่ง เราหาที่พักเพื่อต้มกาแฟกินเรียกความสดชื่น
ได้ที่เหมาะเจาะเป็นโขดหินปกคลุมไปด้วนมอสเขียวขจี หลังจากวางสัมภาระ เจ้าดื้อก็รู้งานจัดการหาน้ำที่ไหลรินอยู่
บริเวณนั้นมาต้มกาแฟทันที นั่งจิบกาแฟปล่อยอารมณ์กันสักพัก เราก็เดินทางกันต่อคราวนี้เราเดินตัดทุ่งหญ้าอีกครั้ง
ทุ่งหญ้าเมื่อมองจากที่สูงเมื่อต้องลมแล้วพริ้วไหวสวยงาม อันที่จริงแล้วถ้าท่านผู้อ่านลองเข้าไปเดินในทุ่งโดยที่ไม่มี
การทำทางเดินไว้ให้ ก็จะรู้ว่ามันลำบากขนาดไหน หญ้าที่สูงท่วมหัว
หรือเท่าเอวไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดเมื่อเรา
เดินเข้าไป นอกจากใบหญ้าที่สากแล้วยังมีความคมอีกด้วย ยิ่งถ้าเรามีเหงื่อออกตามร่างกายด้วยละก็ทั้ง แสบ และคัน
เชียวละครับ ในทุ่งหญ้าที่ผมเดินอยู่ยังมีพืชพวกหวายขึ้นอยู่อีก ถ้าเดินไม่ระวังหนามหวายเกี่ยวเข้าล่ะก้อ ทีนี้ทั้ง
แสบ และคัน เดินกันนานๆ เข้าขาแข้งผมก็ชักจะยกไม่ขึ้นเดินสะดุดต้นหญ้าที่เอนระนาบกับพื้นอยู่เรื่อยๆ จากทุ่ง
 
หญ้าเราก็เข้าสู่ป่าดงดิบทางทิศตะวันออกอีกครั้ง คราวนี้ป่ามืดครึ้มกว่าที่ผ่านมา พืชชั้นล่างเป็นพวกกนกนารี และมอส พืชจำพวกหวาย ปาล์ม เช่นหมากเขียว ปาล์มกะพ้อ มีให้เห็นมากมาย ตามพื้นที่เดินมีไม้ผุล้มขอนนอนไพรจำนวนมาก บางครั้งก็เจอไม้ที่แปรรูปเก่าๆ พี่ประเสริฐประมาณไว้ว่าคงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว การเดินผ่านไม้ล้มขอนนอน
ไพรตามตำราเค้าว่าให้ก้าวเท้าอยู่บนขอนก่อนที่ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไปหามวางเท้าก้าวไปอีกด้านทันที เพื่อที่ว่าเผื่อมีงูซุกตัวอยู่ข้างขอนจะได้ไม่ไปเหยียบมันเข้า
จากนั้นก็
เดินกันต่อจากนั้นก็วกกลับสู่ดง
โชนใหญ่อีกครั้ง เพื่อเข้าป่าดงดิบอีกด้านหนึ่งในคืนนี้ แต่พี่แกก็ยังใจเย็นตามสไตล์ พาพวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ในที่สุด 5 โมงเย็น ก็ออกจาก
ป่าดงดิบสู่พื้นที่โล่งแจ้งอีกครั้ง ผมค่อยหายใจหายคอสะดวกหน่อย เราเดินผ่านทุ่งหญ้าเข้าสู่ป่าโปร่ง สวนหิน ที่นี่ตามต้นไม้ก็
มีเฟินกระปรอกเล็ก เฟิน Asplenium
pellucidum
  เฟินเชือกผูกรองเท้า นาคราชตัวเมีย และเฟินเจ้างูเขียวใหญ่ มากมายเหมือนกับที่ผ่านมา แต่บางต้นใบเริ่มงองุ้มห่อเหี่ยว พี่ประเสริฐ
เราเดินหาแหล่งน้ำเพื่อ
ที่จะพักกันในคืนนี้ เราเดินกลับไปที่ลานหินที่มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน แต่ก็เปลี่ยนใจ
เพราะหัวหน้าทีมของเราบอกว่าที่โล่งแจ้งแบบนี้ลมแรงคืนนี้อาจนอนไม่เป็นสุขเท่าที่ควร
เลยเดินตัดลงหุบเขาเจอที่พักแรมเก่าๆ ของใครก็ไม่ทราบ ใกล้ริมห้วยซับกระถิน
กะว่าจะนอนทับรอยเดิม แต่หัวหน้าทีมที่เจนป่าอย่างพี่ประเสริฐก็เปลี่ยนใจอีกเจ้าดื้อก็บ่น
อุบอิบตามสไตล์ว่าที่นี่ก็ดีแล้ว พี่ประเสริฐพาเราเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยตรงที่มีขอนไม้แห้งขนาดใหญ่ล้มอยู่ พี่เค้าให้เหตุผลว่าตรงนี้ไม่ต้องหาฟืนสำหรับคืนนี้ให้ยุ่งยาก ใช้
ขอนไม้ท่อนนี้ก็ได้ทั้งคืน แถมตรงนี้เป็นหุบที่ช่วยบังลมหนาวได้อีก นี่ไงครับมากับผู้มีประสบการณ์ก็ดีอย่างนี้ทำให้เราเรียนรู้อะไรได้หลายอย่าง...หลังจากเคลียร์พื้นที่ก็
หมดแสงอาทิตย์พอดี เจ้าดื้อก็จัดแจงหุงข้าวอย่างรู้งานทันที กับข้าวมื้อนี้เป็นปลากระป๋องต้มยำกับต้นไผ่ เอ๊ย! หน่อไม้ครับ แต่เป็นหน่อไม้ที่โตเกือบจะเป็นต้นไผ่อยู่แล้ว ตัด
เอาแต่ยอดแล้วนำมาเผาไฟเพื่อให้อ่อนซะก่อนจากนั้นก็ลอกเปลือกหั่นใส่หม้อได้เลย
ช่วงที่รออาหารสุกพี่ประเสริฐก็คว้ากระปุกปลาร้าคู่ชีพไปที่ลำห้วย ได้ผลครับ
 
พอมาถึงช่วงรอยต่อระหว่างป่าดงดิบกับทุ่งหญ้าเราก็พักกันที่ลำธารแห้งสายหนึ่ง พี่ประเสริฐตาไวมากมองเห็น ระย้ายมโดย ห้อย
ย้อยอยู่บนต้นไม้ ประมาณด้วยสายตาคงยาวประมาณ 5 นิ้ว ถึงจะสั้นแต่ที่ปลายก็มีพู่ครับ และที่กลางลำต้นก็มี เฟินเชือกผูกรองเท้า
เกาะอยู่หลายกอ บริเวณโขดหินที่เรานั่งก็มี
ฟิล์มมี่เฟินขึ้นอยู่เต็มโขดหิน ผมอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ ....พักกันพอหายเหนื่อยเราก็
เดินตัดทุ่ง
โชนใหญ่เข้าป่าดิงดิบอีกด้านหนึ่ง เราหาที่พักเพื่อต้มกาแฟกินเรียกความสดชื่น ได้ที่เหมาะเจาะเป็นโขดหินปกคลุมไป
ด้วนมอสเขียวขจี หลังจากวางสัมภาระ เจ้าดื้อก็รู้งานจัดการหาน้ำที่ไหลรินอยู่บริเวณนั้นมาต้มกาแฟทันทีนั่งจิบกาแฟปล่อยอารมณ์
กันสักพักเราก็เดินทางกันต่อคราวนี้เราเดินตัดทุ่งหญ้าอีกครั้ง ทุ่งหญ้าเมื่อมองจากที่สูงเมื่อต้องลมแล้วพริ้วไหวสวยงามอันที่จริง
แล้วถ้าท่านผู้อ่านลองเข้าไปเดินในทุ่งโดยที่ไม่มีการทำทางเดินไว้ให้ ก็จะรู้ว่ามันลำบากขนาดไหน หญ้าที่สูงท่วมหัวหรือเท่าเอว
ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดเมื่อเราเดินเข้าไป นอกจากใบหญ้าที่สากแล้วยังมีความคมอีกด้วย ยิ่งถ้าเรามีเหงื่อออกตามร่างกายด้วยละ
ก็ทั้ง แสบ และคันเชียวละครับ ในทุ่งหญ้า
 
ที่ผมเดินอยู่ยังมีพืชพวกหวายขึ้นอยู่อีกถ้าเดินไม่ระวังหนามหวายเกี่ยวเข้าล่ะก้อ ทีนี้ทั้งแสบ และคัน เดินกันนานๆ เข้าขาแข้งผมก็ชักจะยก
ไม่ขึ้นเดินสะดุดต้นหญ้าที่เอนระนาบกับพื้นอยู่เรื่อยๆ จากทุ่งหญ้าเราก็เข้าสู่ป่าดงดิบทางทิศตะวันออกอีกครั้ง คราวนี้ป่ามืดครึ้มกว่าที่ผ่าน
มาพืช
ชั้นล่างเป็นพวกกนกนารี และมอส พืชจำพวกหวาย ปาล์ม เช่น หมากเขียว ปาล์มกะพ้อ มีให้เห็นมากมาย
ตามพื้นที่เดินมีไม้ผลุ้มขอน
นอนไพรจำนวนมาก บางครั้งก็เจอไม้ที่แปรรูปเก่าๆพี่ประเสริฐประมาณไว้ว่าคงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
การเดินผ่านไม้ล้มขอนนอนไพรตามตำรา
เค้าว่าให้ก้าวเท้าอยู่บนขอนก่อนที่ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไปหามวางเท้าก้าวไปอีกด้านทันที
เพื่อที่ว่าเผื่อมีงูซุกตัวอยู่ข้างขอนจะได้ไม่ไปเหยียบ
มันเข้า
แต่ขอนไม้ที่นี่เป็นขอนผุซะส่วนมากผมคงเดินตามตำราไม่ได้เพราะถ้าเหยียบไปบนขอนเท้าอาจจะทำลุไปเหยียบเอาเจ้าตัวที่อยู่ใน
ขอนไม้เอาก็ได้ พี่ประเสริฐกับเจ้าดื้อเดินแหงนหน้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองหมายมั่นปั่นมือไว้ว่าอาจจะเจอ
เฟินชายผ้าสีดาอีสาน และเฟินริบบิ้น
ในธรรมชาติให้ผมได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เราเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่พบ
เฟินที่พบกับเป็น Asplenium normale D.DON อยู่เป็นกลุ่ม
ใหญ่ตามพื้นดินที่มีใบไม้ และต้นไม้ผุทับถมอยู่เป็นเฟินที่อยู่ในสกุล Asplenium พูดให้นึกถึงกันง่ายๆ คือสกุลเดียวกับ
เฟินข้าหลวงที่เรา
เห็นกันทั่วไป ...ดวงตะวันคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ พวกเรา 3 คนก็ยังเดินกันอยู่ในป่าดงดิบ นาฬิกาบอกเวลา 4 โมงเย็น แต่ในป่าดงดิบ
และเป็นฤดู
หนาวแบบนี้ ที่นี่ดูมืดเร็วผิดปกติ
 
พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ในที่สุด 5 โมงเย็น ก็ออกจากป่าดงดิบสู่พื้นที่โล่งแจ้งอีกครั้ง ผมค่อยหายใจหายคอสะดวกหน่อย เราเดินผ่านทุ่งหญ้าเข้าสู่ป่าโปร่ง สวนหิน ที่นี่
ตามต้นไม้ก็
มี
เฟินกระปรอกเล็ก
เฟิน Asplenium pellucidum  เฟินเชือกผูกรองเท้า นาคราชตัวเมีย และเฟินเจ้างูเขียวใหญ่ มากมายเหมือนกับที่ผ่านมา แต่บางต้นใบเริ่ม
งองุ้มห่อเหี่ยว
ในคืนนี้ แต่พี่แกก็ยังใจเย็นตามสไตล์ พาพวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ ในที่สุด 5 โมงเย็น ก็ออกจากป่าดงดิบสู่พื้นที่โล่งแจ้งอีกครั้งผมค่อยหายใจหายคอสะดวก
หน่อยเราเดินผ่านทุ่งหญ้าเข้าสู่ป่าโปร่ง สวนหิน ที่นี่ตามต้นไม้ก็
มีเฟินกระปรอกเล็ก เฟิน Asplenium pellucidum  เฟินเชือกผูกรองเท้า นาคราชตัวเมีย และเฟินเจ้าง
ูเขียวใหญ่
มากมายเหมือนกับที่ผ่านมา แต่บางต้นใบเริ่มงองุ้มห่อเหี่ยว
 
 
 
 
 
พี่ประเสริฐพาเราเดินหาแหล่งน้ำเพื่อที่จะพักกันในคืนนี้ เราเดินกลับไปที่ลานหินที่มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะหัวหน้าทีมของเราบอกว่าที่โล่งแจ้ง
แบบนี้ลมแรงคืนนี้อาจนอนไม่เป็นสุขเท่าที่ควร เลยเดินตัดลงหุบเขาเจอที่พักแรมเก่าๆ ของใครก็ไม่ทราบ ใกล้ริมห้วยซับกระถิน กะว่าจะนอนทับรอยเดิม แต่หัวหน้าทีม
ที่เจนป่าอย่างพี่ประเสริฐก็เปลี่ยนใจอีก เจ้าดื้อก็บ่นอุบอิบตามสไตล์ว่าที่นี่ก็ดีแล้ว พี่ประเสริฐพาเราเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยตรงที่มีขอนไม้แห้งขนาดใหญ่ล้มอยู่ พี่เค้าให้
เหตุผลว่าตรงนี้ไม่ต้องหาฟืนสำหรับคืนนี้ให้ยุ่งยาก ใช้ขอนไม้ท่อนนี้ก็ได้ทั้งคืน แถมตรงนี้เป็นหุบที่ช่วยบังลมหนาวได้อีก นี่ไงครับมากับผู้มีประสบการณ์ก็ดีอย่างนี้ทำ
ให้เราเรียนรู้อะไรได้หลายอย่าง...หลังจากเคลียร์พื้นที่ก็หมดแสงอาทิตย์พอดี เจ้าดื้อก็จัดแจงหุงข้าวอย่างรู้งานทันที
 
กับข้าวมื้อนี้เป็นปลากระป๋องต้มยำกับต้นไผ่ เอ๊ย! หน่อไม้ครับ แต่เป็นหน่อไม้ที่โตเกือบจะเป็นต้นไผ่อยู่
แล้ว ตัดเอาแต่ยอดแล้วนำมาเผาไฟเพื่อให้อ่อนซะก่อนจากนั้นก็ลอกเปลือกหั่นใส่หม้อได้เลย
ช่วงที่รอ
อาหารสุกพี่ประเสริฐก็คว้ากระปุกปลาร้าคู่ชีพไปที่ลำห้วย ได้ผลครับ สักพักก็ได้ปลาช่อนตัวไม่ใหญ่
มากนักมา 2 ตัวพี่แกใช้ปลาร้าเป็นเหยื่อล่อปลาแล้วใช้ไม้ทุบ....ก่อนกินข้าวเราเรียกน้ำย่อยด้วยน้ำใสๆ
ที่เตรียมมากจากบ้าน อาหารเย็นคืนนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดอีกมื้อหนึ่งในชีวิตของผม ฝีมือการปรุงต้มยำ
ของเจ้าดื้อเด็ดขาดจริงๆ ครับ...หลังจากอิ่มหนำสำราญกันดีแล้วก็ตบท้ายด้วยกาแฟอุ่นๆ แกล้มกับ
การคุยกันเรื่องการเดินทางที่ผ่านมาในวันนี้ พร้อมกับวางแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้ และสัพเพเหระ
ที่เป็นประสบการณ์ในป่าของหัวหน้าทีมเราอีกมากมายหลายเรื่อง เราผูกเปลนอนกันรอบกองไฟ
พระจันทร์เริ่มโผล่พ้นยอดไม้แสงสีนวลเยือกเย็น พี่ประเสริฐเล่าว่าสมัยที่บ้านเรายังมีพื้นที่สีแดง
บริเวณที่เราพักกันอยู่นี้เป็นจุดส่งเสบียงของพลพรรคที่หนีภัยการเมืองเข้าป่า และแน่นอนการเสียชีวิต
ของผู้คนต้องเกิดขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน ได้ฟังแล้วก็เสียวๆ ครับ..แต่พี่แกก็บอกว่าพวกที่เข้าป่าส่วนใหญ่
เป็นคนดีกันทุกคน เพราะสมัยที่พี่แกเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ได้พบเจอกลับพวกที่นักศึกษาที่อยู่ในป่า
เป็นประจำ และที่สำคัญพี่แกบอกผมเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่าตรงที่เรานอนกันเป็นทางที่เสือโคร่งเดินมากิน
น้ำที่ลำห้วยเป็นประจำ พี่เค้าคงกลัวผมนอนไม่หลับเลยไม่กล้าบอกผมในคืนนั้น....
 
ดึกแล้วแสงจันทร์ยังสาดส่องเล็ดลอดใบไม้สวยงาม เยือกเย็น  หรีดหริ่งเรไรร้องระงม ได้ยินเสียงนกกลางคืนร้องมาเป็นระยะ เสียงลมบนทุ่งโล่งจากที่ราบบนเขาพัดอื้ออึง แต่เราไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะเราอยู่กันในหุบเขา เจ้าดื้อหลับไปนานแล้ว ประมาณ 4 ทุ่ม ผมกับพี่ประเสริฐก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง.... ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางป่าเปลี่ยว
กันแค่  3 คน แต่ผมก็รู้สึกอบอุ่น มั่นใจ อย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะมิตรภาพอันแสนอบอุ่นที่ทุกคนมอบให้ผมมาตลอดในการเดินทางที่ผ่านมา คืนนี้ผมนอนหลับอย่างไม
่หวาดระแวงอะไรทั้งสิ้น......ประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ฝนเม็ดเล็ก ก็โปรยปรายลงมา แต่สักพักก็จากพวกเราไป...นอนอย่างเป็นสุขเหมือนเดิม.........