เดินทางแบบ Non-Stop ไม่แวะที่ไหนเลย พอเข้าเขตประจวบฯ เริ่มมีเฟินให้เห็นประปราย ตามต้นไม้ข้างทางเป็นพวก เฟินเจ้างูเขียวเล็ก ที่ค่อนข้างเหี่ยวแห้ง ตามสวนปาล์มก็มีพวก เฟินใบมะขามกูดลาน ขึ้นกันอย่างหนาแน่น คืนแรกนอนกันที่หาดทุ่งวัวแล่น
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
     
  วันนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นเพราะจากชุมพรไปก็คือประตูสู่ภาคใต้ จากนี้ไปเราจะพบกับธรรมชาติชาติป่าเขาอย่างที่หวังกันเอาไว้ พอเริ่มเข้าสู่เขตจังหวัดระนองเริ่มมีเฟินให้เห็นประปราย ตามต้นไม้ริมทางมีพวก เฟินเจ้างูเขียวเล็ก เฟินหางนกหว้า กระแตไต่ไม้ แต่ค่อนข้างเหี่ยวเฉาไปสักหน่อย ฝนคงทิ้งช่วงไปนาน พอรถเริ่มขึ้นเขาสูงตามหน้าผาเราก็เริ่มเห็น โชน ขึ้นอยู่ตามหน้าผาเต็มพรืดไปหมด ที่ระดับต่ำลงมาก็มีพวก กูดดอย ทั้งเล็กและใหญ่คละเคล้ากันไปบางต้นก้านใบยาวถึง 2 เมตรชูใบอ่อนสีส้มเห็นชัดเจนแต่ไกลๆ เฟินกนกนาร ี ก็ขึ้นปะปนกันไปกับเค้าด้วย
 
 
 
 
เราเจอลักษณะแบบนี้กันตลอดเส้นทาง ขับรถไปเรื่อยๆ สักพักก็เจอป้ายบอกทางไป"น้ำตกชุมแสง"ป้ายข้าง
ทางบอกระยะทางไว้ 2 ก.ม. ถือเป็นน้ำตกแรกในทริปนี้ที่เราได้แวะชมกัน พอถึงน้ำตกเห็นน้ำแล้วค่อนข้าง
ผิดหวัง น้ำมีไม่มากมายนักแต่ก็พอให้อาบเล่นกันได้ ลักษณะน้ำตกเป็นหน้าผาสูงชัน 2 ชัน ถึงจะผิดหวังกับ
จำนวนของน้ำ แต่ไม่ผิดหวังกับเรื่องเฟิน ตรงที่จอดรถ เป็นที่ค่อนข้างร่มเย็นรอบๆ จุดที่ผมยืนอยู่มีเฟินให้
เห็นกันหลายชนิดเฟินลูกไก่ดำ กูดดอย ขนคางพญานาค เฟิน Bolbitis
 
oppendiculata (willd.) tc.imats , pronepphrium rubicundum กูดเปือย , กูดตอง ผมป่ายปีนขึ้นไปตามหน้าผา ได้พบกับ เฟินแก็ปปืน และ เฟินหางนกหว้า เกาะอยู่บนหิน แต่ใบเหี่ยวแห้งเต็มที ผมขึ้นไปได้แค่ครึ่งทางก็หยุดพัก ที่เหลือเป็นที่ค่อนข้างชันกว่าที่ผ่านมาถ้าผมขึ้นต่อไปเจ้า 3 ตัวที่ตามมา อาจพลาดพลั้งไปได้ ถ้าเป็นแบบนั้นละก็เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นแล้วก็กลับมาที่รถ ออกเดินทางกันต่อ

มุ่งหน้าสู่จังหวังระนองขับรถไปเรื่อยๆ เห็นป้ายบอกทางไป"น้ำตกบกกราย" ระยะทาง 11 ก.ม. ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าต้องแวะ เพราะเวลายังเหลืออีกมากมายหลายวัน
 
 
 
 
 
 
 
มุ่งหน้าสู่จังหวังระนองขับรถไปเรื่อยๆ เห็นป้ายบอกทางไป"น้ำตกบกกราย" ระยะทาง 11 ก.ม. ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าต้องแวะ เพราะเวลายังเหลืออีกมากมายหลายวัน สักครู่เดียวเราก็ถึงเขตรักษาพันธุ์สักป่านาสัก-ทุ่งระยะจากที่ทำการไปถึงน้ำตกระยะทาง 300 เมตร เรารีรอตัดสินใจที่จะเดินไป ระยะทางแค่นี้ไม่ไกลหรอกครับ แต่ติดปัญหาที่ว่าหมาลูกอ่อนเจ้าถิ่นนอนขวางทางให้ลูกน้อยกินนมอยู่ ทำให้เจ้า 3 ตัวผ่านไปไม่ได้ เดือนร้อนเรา 3 คนต้องรับภาระอุ้มกันคนละตัวให้ผ่านจุดนั้นให้ได้ แฟนผมหนักกว่าเพื่อนเพราะเจ้ามอมแมมน้ำหนักถึง 12 ก.ก. เส้นทางที่เดินไปน้ำตกเป็นป่าดงดิบที่ร่มครึ้ม เย็นฉ่ำ ข้างทาง
 
 
 
 
 
 
ที่เราผ่านกันไป เฟินกนกนารี สีเขียวเหลือบน้ำเงินขึ้นอยู่ตลอดทางงดงามจริงๆ เฟินลูกไก่ดำ เฟินกีบแรด มีให้เห็นมากมาย
เฟินกีบแรดบางต้นที่อยู่ริมน้ำบางต้นเหง้าใหญ่ถึง 100 ซ.ม. ก้านใบสูงท่วมหัว ความกว้างประมาณคร่าวๆ 1 เมตรกว่าเห็นจะ
ได้ เฟินลูกไก่ดำก็ใหญ่จนน่าตกใจ ก้าน และใบขนาดพอๆ กับเฟินกีบแรดที่ผมกล่าวถึง เส้นผ่าศูนย์กลางเหง้าน่าจะประมาณ 15
ซ.ม. ใกล้ๆ ริมลำธารบางช่วงมี เฟิน Shaemstephmos polycar ก้านใบใหญ่เท่าหัวแม่มือ ความยาวเลยศีรษะผมไปอีก
ความกว้างของในก็ในราวๆ 1เมตร อลังการจริงๆ ครับท่าน นี่ขนาดเดินมาไม่กี่ร้อยเมตร ถ้าลึกเข้าไปจะเด็ดขาดแค่ไหน....ผม
เดินทวนลำธารขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงน้ำตกชั้นที่ 1 ตามหน้าผาดินก็มีพวก เฟินเงิน ขึ้นแทรกอยู่กับพืชอื่นๆ....เดินต่อไปเรื่อย น้ำที่นี่
มากมาย ใส เย็นฉ่ำ ในระหว่างทาง เฟินลิ้นผีไม้เฟินข้าหลวง เฟินกระแตไต่ไม ้ มีให้เห็นเป็นระยะ ธรรมชาติจัดให้เฟินเหล่านี้ขึ้น
อยู่ตามโขดหิน และคาคบไม้ได้อย่างลงตัวสวยงาม เดินทวนน้ำขึ้นไปสักพักก็เจอพวกเด็กๆ 4-5 คน เล่นน้ำกันอยู่ เลยไปอีกนิดก็ไป
เจอหนุ่มสาวกำลังพรอดรักกันอยู่ ผมต้องรีบเดินให้เลยจุดนั้นให้เร็วที่สุด ไม่ต้องการขัดจังหวะเค้า 2 คนนานจนเกินไปหลังจากลับ
ตาสองหนุ่มสาวคู่นั้นมาแล้วผมปีนหน้าผาเล็กๆ ขึ้นไป สิ่งที่ผมเห็นเบื้องหน้าหลังจากปีนขึ้นมา เห็นพวก เฟินกนกนาร ีขึ้นอยู่เป็นดง
บางต้นก็ห้อยย้อยมาจากหน้าผาลงมาดูสวยงามแท้ ที่ริมลำธารในจุดที่ผมยืนอยู่มี เฟินอ้ายหัวเป็ด ขึ้นอยู่เป็นกลุ่มประมาณ 3-4 ต้น
ขนาดตั้งแต่ 2 -4 เมตร ขนงี้สีทองเหลืองอร่าม งามตาจริงๆ....ผมลุยน้ำขึ้นไปเรื่อย ป่าเริ่มชื้นมากขึ้น ตามต้นไม้มีมอส ขึ้นอยู่คล้าย
ป่าใส่เสื้อ ต้นไม้บางต้นมี ฟิล์มมี่เฟิน ขึ้นอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นเฟินที่ใบบางที่สุดในโลก แสดงให้เห็นว่าที่นี่ระบบนิเวศน์ยังสมบูรณ์อยู่ ...
หนทางเริ่มลำบาก สำหรับผมเองก็ป่ายปีนไปได้เรื่อย แต่เจ้าตัวเล็กที่ตามกันมาติดๆนี่ซิจะสร้างภาระให้กับผม
  ที่สำคัญอีกอย่างคือร่างกายที่ถดถอยยังไม่ฟื้นตัวทำให้หักโหมมากไม่ได้เหมือนเดิม ผมเลยหลังหันกลับด้วยความเสียดาย ช่างขากลับก็ได้เห็น เฟินแก๊ปปืน ที่เกาะอยู่ที่ต้นไม้เลย
อดไม่ได้ที่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ ที่แอ่งน้ำข้างล่าง ตั้มกับมอมแมมกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ก็พร้อมใจกันเลิกเล่นหลังจากผมนั่งรอสักพักทุกคนคงจะรู้ว่าผม
ต้องหาอาหารใส่ท้องเพื่อกินยาตามที่คุณหมอสั่งไว้ ...ช่วงขากลับแฟนผมบอกว่าให้เดินระวังกันหน่อยเพราะโดนทากเกาะเข้าไปแล้ว พวกเราเลยต้องรีบเดินให้เร็วเพื่อไม่ให้เจ้า
ทากน้อยจับคลื่นความร้อน และดีดตัวเกาะพวกเราได้ทัน จัดการกับอาหารกลางวันเสร็จก็บ่ายโข พวกเราก็มุ่งหน้าสู่ระนองกันทันที ...ถึงระนองประมาณ 4 โมงเย็น
 
หาที่พักได้แล้ว ยังพอมีเวลาที่จะตระ
เวณเที่ยวในละเแวกใกล้เคียงได้อีก
ก่อนที่จะมืดค่ำจากที่พักที่อยู่ริมทาง
หลวงแผ่นดินเรามุ่งหน้าลงใต้ไปไม่
่กี่กิโลเมตรก็พบกับป้ายบอกทางไป
น้ำตกโตนทอง แต่เป็นป้ายที่ติดกลับ
ทาง เราเลยต้องถ้าเด็กแถวนั้นจึงไป
ได้ถูกทาง ระยะทางประมาณ 2 ก.ม.
ก็ถึงตัวน้ำตก แต่ก่อนที่จะถึงตกน้ำตก
สองทางทางเต็มไปด้วยโชน กูดดอย
เฟินลูกไก่ดำ และ กนกนารี น้ำตกโตน
ทองเป็นน้ำตกเล็กๆสูง ประมาณ 10
เมตร ความกว้างน่าจะอยู่ที่ 20 เมตร
มีแอ่งน้ำกว้างขวางเหมาะสำหรับ
เล่นแต่บริเวณรอบๆที่ผมเห็นในวันนั้น
  ตั้งแต่ที่จอดรถไปจนถึงตัวน้ำตกเต็มไปด้วยขยะมากมายจริง ผมนึกว่าตัวเองหลงไปอยู่ในที่ทิ้งขยะ และที่หน้าผาที่น้ำไหลลงมา ไม่รู้ว่าใครหวังดีนำสีไปเขียนชื่อน้ำตกตัวโตๆ ไว้
ซะอีก มองดูแล้วเหนื่อยหน่ายในความหวังดีจริง ...ช่วงที่เราไปถึงมีกลุ่มวัยรุ่นมาเล่นน้ำกันหลายคน ผมเลยเดินไปที่ท้ายน้ำเพื่อหาดูเฟินที่น่าสนใจ เดินหาอยู่ตั้งนานในที่สุดก็พบ
เฟิน Bolbitis oppendiculata (willd.) tc.imats และก็ หัสดำ ต้นเล็กอีกไม่กี่ต้น ผมเดินไปจนถึงแอ่งน้ำใหญ่ ซึ่งมีน้ำใสจนเห็นพื้นทรายแต่เมื่อมองลงไปแล้วผมถึงกับขนลุกเลยทีเดียวลูกกบ หรือที่เรียกกันว่าลูกอ๊อดไงครับสีดำสนิทตัวเท่าหัวแม่มือผู้ใหญ่อย่างเรา แหวกว่ายอยู่ในแอ่งน้ำนับร้อยตัว มองดูแล้วน่ากลัว และขยะแขยง มากกว่า ความน่ารัก
 
นี่ถ้าเราตกลงไปในแอ่งน้ำแล้วมันเกิดมันวิปริตผิดธรรมชาติกินเนื้อมนุษย์ขึ้นมา ผมว่าไม่ถึงหนึ่งนาทีมันคงกินเราจนเหลือแต่กระดูกแน่ๆ ...ตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขา เราก็ชวนกันกลับ ที่แรกว่าจะเดินขึ้นไปเหนือน้ำตก แต่ว่าเรามีโปรแกรมที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกที่เขาหญ้ากันก็เลยต้องรีบกลับ ช่วงขับรถถกลับเราสายตาเราไปสะดุดกับดอกไข่ดาวออกดอกพราวเต็มต้น เห็นแล้วอดไม่ได้ที่ต้องถ่ายรูปไว้

เขาหญ้าที่ระนองนี่เป็นหญ้าจริงๆ ครับ ต้นไม้แทบนับต้นได้ ไอ้เรื่องที่จะเดินท่อมๆ หาดูเฟินคงหมดหวัง ผมเลยเบนความสนใจไปที่ต้นไม้เล็กๆที่มีดอกแถวนั้น ก็ได้พบกับ โมกแดง ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้พื้นเพทางภาคใต้ที่ขึ้นอยู่ตามภูเขา ถือว่าโชคดีครับที่ได้เห็นต้นที่อยู่ในธรรมชาติ และก็มีอีกหลายชนิดที่ผมไม่ทราบชื่อ....เราอยู่กันจนตะวันตกลับขอบฟ้าจึงกลับที่พัก มีคนเค้าบอกว่าในหนึ่งปี เราควรหาเวลาดูพระอาทิตย์ขึ้น และตกให้ได้หนึ่งครั้ง....ปีนี้ผมได้เห็นพระอาทิตย์ตกแล้วครับ แต่พระอาทิตย์ขึ้นผมยังไม่มีโอกาสได้เห็นเมื่อเช้าก็ตื่นไม่ทัน........