พวกเราตื่นกันตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้า พอฟ้าเริ่มสางก็รีบออกเดินทางกันทันที ยังไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ขับรถมุ่งขึ้นเหนืออย่างเดียว พอฟ้าสว่างเต็มที่ก็ผ่านทางเข้าน้ำตกสุนันทา ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขานัน ผมเคยมากันครั้งนึงหลายปีก่อน เรามาถึงเช้าอย่างนี้ อีกทั้งระยะทางก็ไม่ไกลนักสมควรอย่างยิ่งที่ต้องแวะชมกันอีกสักครั้ง ก่อนที่จะเข้าไปที่น้ำตกพวกเราแวะตลาดเช้าที่อยู่ริมทางหลวงตรงป้ายบอกทางเข้าน้ำตก แวะซื้อเสบียงที่เป็นอาหารพื้นเมืองกันนิดหน่อย ขอบอกว่าข้าวยำที่นี่อร่อยมากครับ....
 
ระหว่างทางเข้าน้ำตกสุนันทาผ่านบ้านผู้คน ผมเห็น เฟินชายผ้าสีดาปักษ์ใต ้ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง คิดไว้ว่าขากลับจะต้องแวะถ่ายรูปเก็บไว้ ....น้ำตกสุนันทามองจากถนนที่ขับรถเข้ามาเห็นได้ชัดเจนเพราะเป็นน้ำตกที่ตกมาจากหน้าผาที่สูงขัน เป็นทางยาว วันนี้ยังมีน้ำมากมาย และสวยงามเหมือนเดิม เราเข้ามาถึงน้ำตกค่อนข้างเช้าจึงยังไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเข้ามา ...จอดรถแล้วก็ข้ามสะพานเพื่อเดินตามเส้นทางที่จะไปน้ำตก ตามริมลำธารที่สะพานทอดไปอีกฝั่งมี เฟินลูกไก่ดำ ขึ้นอยู่มากมาย พอข้ามพ้นสะพานก็เห็น กูดดอย ที่ก้านใบยาวเกือบ 3 เมตร เหง้าใหญ่เกือบเท่าโคนเขา ไม่ใช่แค่ต้นเดียวนะครับ ขึ้นเป็นกอเลยทีเดียว ใกล้ๆ กันนั้น เฟินลิเภา ทอดเลื้อยไปเกี่ยวพันต้นไม้ชนิดอื่นจนแทบไม่เห็นใบที่แท้จริงของต้นไม้ชนิดนั้นเลย

ตลอดเส้นทางก่อนที่จะเดินเข้าสู่ป่าที่ร่มครึ้มผมพบเฟินที่ว่าถึงข้างต้นตลอดทางเดิน ที่ตามต้นไม้มี เฟินอีแปะ ขึ้นอยู่ประปราย ที่ริมลำธารม ีเฟินอ้ายหัวเป็ด ขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม แต่ละต้นสูงไม่ต่ำกว่า 4 เมตรพอเข้าเริ่มเข้าเขตป่าที่ร่มครึ้ม ก็พบ กระแตไต่ไม้ใบเล็ก เฟินหางนกหว้า ขึ้นอยู่ที่ต้นไม้ และโขดหิน เฟินหางไก่
 
ที่นี่ใบมีลายสีขาวด้วย ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็พบเฟิน กูดแต้ม ที่ใบใหญ่ค่อนข้างใหญ่ขึ้นอยู่ตามซอกหิน และหน้าผาดิน เดินเข้าไปอีกพอใกล้ถึงตัวน้ำตก ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นของละอองน้ำที่มากระทบกับผิวกาย แม้จะเดินมาเหนื่อย แต่ผมรู้สึกสดชื่น นี่ละมั้งที่เค้าเรียกว่า โอโซน ที่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่น ผมนั่งพักเหนื่อยเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ บริเวณรอบๆ ตัวที่ผม นั่งมี เฟิน Lygodium japonicum ที่มีเถาเลื้อยทอดยาวไปไกล อยู่ทั่วๆ บริเวณนั้น สายตาผมสอดส่ายไปเรื่อยๆ พบ เฟินสกุล tectaria ที่ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณนั้น แล้วสายตาของผมก็ไปพบกับ เฟินก้านดำใบร่ม ต้นไม่ใหญ่นัก ขึ้นอยู่ข้างซอกหิน ผมขยับเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นบริเวณนั้นมีขึ้นอยู่อีกหลายต้น ช่วงเดินกลับจากน้ำตกผมเดินดูพันธุ์ไม้ไปเรื่อยเปื่อย ได้ถ่ายรูปดอกอโศกเขาสีส้มสด และดอกไม้อีกหลายชนิดที่ไม่รู้จักชื่อ....พวกเราจัดการกับอาหารเช้ากันที่ลานจอดรถ ช่วงที่รอให้อาหารย่อยก็เดินถ่ายรูปดอกไม้ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น มีดอกไม้อยู่ชนิดหนึ่งผมต้องปีนต้นไม้ที่ทอดลงไปในลำธารที่ค่อนข้างลึกจึงจะเก็บภาพได้ ซึ่งดูค่อนข้างทุลักทุเล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่อยู่บริเวณนั้นเข้ามาสอบถามด้วยความมีน้ำใจพี่แกบอกว่าจะปีนไปเก็บ
ดอกมาให้ถ่ายรูปได้ชัดๆ ผมเลยต้องห้ามเอาไว้ เพราะผมได้เก็บรูปไว้แล้ว ตอนนี้ผมแค่อยากทราบชื่อว่าดอกไม้ที่ผมถ่ายไว้ชื่ออะไร.... เท่านั้นเองครับเป็นเรื่องขึ้นมาเลย พี่แกเรียกสมัครพรรคพวกที่อยู่บริเวณนั้นเข้ามาดูกัน 4-5 คน วิเคราะห์กันยกใหญ่แต่ก็ไม่มีใครทราบชื่อ ที่นี้ไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่อยากรู้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็อยากรู้ด้วยแล้วพี่คนหนึ่ง
  ที่อยู่ในกลุ่มก็กวักมือเรียก พระเอกที่อยู่ใกล้กันให้ขี่ม้าขาวมาช่วย พี่คนนี้ดูหน้าตาแล้ว อายุ และประสบการณ์คงมากกว่าเพื่อนๆ ในกลุ่ม ผมดูมาดแกแล้วคิดว่าคงได้ความกระจ่างแน่คราวนี้ พอทราบจุดประสงค์ของพวกเราพี่แกสั่งให้คนที่อยู่ในกลุ่มขึ้นไปเด็ดใบบนต้นลงมาให้ดู เจ้าหนุ่มคนนั้นบ่นนิดหน่อยเพราะไม่อยากเป็นลิงเป็นค่าง แต่ในที่สุดก็ปีนไปเด็ดลงมาหนึ่งยอด แล้วส่งให้พี่พระเอก พี่ท่านรับมาพลิกดูหน้าหลัง 2-3 ครั้ง มาดยังนิ่งเหมือนเดิม และก็ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา จากนั้นเหนือความคาดหมายของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น พี่แกยัดใบไม้เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นนิ่งอึ้ง!... ผมรู้สึกดีใจเหมือนกับได้พบกับผู้รู้ตัวจริง เพราะจากบุคลิก และวิธีการเคี้ยวนั้นดูไม่ธรรมดา
 
แน่นอน พอเคี้ยวจนแหลกแกก็คายทิ้งออกมาอย่างไม่แยแส ช่วงรอคำตอบ ผมเหมือนลืมหายใจไปชั่วขณะ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็นิ่งรอ สักอึดใจแกก็ตอบว่า "ไม่รู้ว่ะ" เฮกันตึง วงแตกทันทีเลยครับ แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน..... ออกจากน้ำตกสุนันทามาสัก 5 ก.ม. เราแวะเข้าไปที่"น้ำตกบ่อหิน" ระยะทางประมาณ 11 ก.ม. ถือว่าไม่ไกลนัก เส้นทางผ่านสวนยาง และสวนผลไม้ที่ร่มรื่นตลอดทาง จนในที่สุดเราก็มาถึงทางแยกตรงลำธารสายหนึ่ง ป้ายบอกทางก็ไม่มี จึงต้องหยุดดูท่าทีก่อน ผมเดินไปล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นที่ลำธาร ที่ริมลำธารเต็มไปด้วย กูดดอย กูดกวาง กูดขนคางพญานาค กนกนารี ในขณะที่นั่งพักอยู่ที่ริมลำธาร หูผมก็ได้ยินเสียงตอกตะปู แว่วมาจากฟากเขาอีกด้าน มันเป็นเรื่องที่น่ารู้จริงๆ ว่าใครมาทำกลางป่าลึกแบบนี้ ไอ้ความกลัวก็มีอยู่บางแต่ก็ไม่มากไปกว่าความอยากรู้ อยากเห็น ผมเลยตัดสินใจเดินไปดูที่มาของเสียงจะได้ถามว่าน้ำตกบ่อหินไปทางไหน และผมเองก็จะได้รู้ด้วยว่าเค้าทำอะไรกันตรงนั้น ....ผมเดินขึ้นเขาไปเงียบๆ ใกล้เสียงที่ว่าเข้าไปเรื่อยๆ พอเดินขึ้นโค้งที่จะขึ้นไปยอดเขา ก็เห็นสิ่งที่กำลังก่อสร้าง มองดูแล้วคงไม่ใช่บ้านชาวสวนธรรมดา เพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ค่อนข้างใหญ่โตอยู่บนยอดเขา คนงานที่ทำงานอยู่ 2 คน พอเห็นผมก็หยุดงานทันที เค้าคงตกใจที่จู่ๆ มีคนเข้ามา ผมยิ้มสู้ถามทางว่าน้ำตกไปทางไหน ทั้งสองคนยิ้มคงเห็นว่าผมคงเป็นคนธรรมดาไม่มีพิษสงอะไร แล้วตอบมาว่าตรงทางแยกที่ลำธาร แล้วเลี้ยวขวา ผมตอบขอบคุณแล้วรีบเดินออกมา เพราะถ้าอยู่ต่อเดี๋ยวอดไม่ได้ที่จะถามว่าปลูกบ้านให้ใคร
 
ถ้าเกิดเป็นบ้านของผู้มีอิทธิพลที่บุกรุกป่าพวกเราจะซวยกันซะเปล่า ระหว่างเดินกลับมาที่รถ ตามลำธารแห้งเล็กๆ ข้างทางมีพวก เฟินลูกไก่ดำ ขึ้นให้เห็นเป็นระยะ มีต้นไม้อยู่ต้นนึงก็มี เฟินหางนกหว้า ขึ้นอยู่ ขับรถไปตามทางที่บอกเส้นทางค่อนข้างรกเลื้อย ดูแล้วคงไม่ค่อยใครผ่านมากันบ่อยนัก บนเส้นทางมีโขดหินน้อย-ใหญ่ตลอดทางทำให้ขับรถด้วยความลำบากพอสมควร เส้นทางนำเราเข้าสู่ป่าทึบขึ้นเรื่อยๆ ความจริงทางที่ว่าน่าจะเรียกว่าลำธารแห้งมากกว่า เส้นทางมืดครึ้มข้างทางบางช่วงเป็นผาน้ำหยดเล็กๆ มี เฟินคล้ายกูดดอย ขึ้นอยู่เต็มหน้าผา ด้านล่างวังน้ำเขียวคล้ำ มองดูแล้วลึกลับน่ากลัว ริมวังน้ำมี เฟินหัสดำ ขึ้นอยู่บ้างไม่กี่ต้น นอกจากนั้นก็เป็นพวก เฟินในสกุล tactaria , sphaerostephnos polycarpus สักพักเราก็เห็นอาคาร และเสาธงเก่าๆ ที่ผุพัง ขาดการดูแล แสดงว่าที่นี่ร้างผู้คนมานานพอสมควร
 
ผมจอดรถที่ลานหญ้ากว้าง ลงมาสูดอากาศบริสุทธิ์ รอบๆ ตัวเป็นป่าดงดิบที่เขียวขจี มีเมฆคลอเคลียอยู่บนกลางขุนเขา มองดูเหมือนไม่ไกลจากเรามากนัก แสดงว่าพวกเราขับรถขึ้นมาสูงกันพอสมควร ภรรยาผม กับตั๊มสมัครใจที่จะอยู่ต้มกาแฟกิน แกล้มกับบรรยากาศที่อยู่รอบๆ ตัว ส่วนผมคงอยู่นิ่งไม่ได้ไหนๆ มาแล้วต้องเดินสำรวจดูเสียหน่อยว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง รวบรวมพลพรรคครบ 3 ตัว พวกเรา 4 ชีวิตก็เดินไปตามทางคอนกรีตเล็กๆ ที่ค่อนข้างรกไปด้วยใบไม้ผุ และไม้เลื้อยที่ทอดผ่านทาง พวกเราเดินไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อากาศรอบตัวเย็นลง รอบตัวมืดครึ้มไปด้วยป่าทึบบางช่วงแสงแดดส่องผ่านแทบไม่ถึงพื้นล่าง มีบันไดลิงเส้นโตๆ พาดผ่านระหว่างต้นไม้ สองข้างทางมีพวกเฟิน เฟินในสกุล tactaria ที่ใบใหญ่มาก ประมาณดูกว้างเกือบ 1 เมตร เฟินลูกไก่ดำ กูดตอง , Shaemstephmos polrcar
ก็สูงท่วมหัวท่วม ท่วมหูขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน....ผมรู้สึกเหนื่อย แต่ไม่มีเหงื่อออกคงเป็นเพราะอากาศเย็น ยิ่งเดินลึกเข้าไปบรรยากาศเริ่มวังเวงอย่างไรชอบกล พวกเราอยู่ใต้ร่มไม้ที่แสงแดดแทบส่องไม่ถึงพื้น เจ้า 3 ตัว ที่เคยวิ่งนำหน้าอย่างร่าเริงไปก่อนทุกครั้ง เริ่มมาพัวพันอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมออกห่างไปไหนไกล เดินชิดขาแทบจะพันกันเฟินที่ผมเห็นต้นใหญ่ๆ อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ แต่บรรยากาศรอบตัวมีน่ากลัวเกินกว่าที่หยุดพิจารณาเก็บภาพไว้ เจ้า 3 ตัวเริ่มกระวนกระวาย เดินไป ร้องไปอยู่ตลอดเวลา ไม่ทราบว่ากระสากลิ่นอะไรหรือเปล่าเพราะตามทางมีมูลสัตว์ตลอดทาง ยิ่งเดินขึ้นไปเรื่อยๆ อีกสักพัก ผมรู้สึกได้ถึงไอน้ำเล็กๆ ที่มากระทบตัว เสื้อผ้าเริ่มเปียกชื้น ที่แรกเข้าใจว่าเป็นฝนตก แต่มองดูแล้วรอบตัวเรามีแต่ไอหมอกสีขาวโพลน หรือว่านี่ผมมาอยู่ในก้อนเมฆ ที่ผมเห็นตอนที่อยู่ข้างล่างเมื่อสักครู่นี้ ถ้าใช่พวกเราก็มากันไกล และสูงพอสมควร ผมพยายามเดินเร็วขึ้นพยายามที่จะให้พ้นป่าทึบโดยเร็วที่สุด บรรยากาศรอบๆ เงียบสงบ วังเวง เยือกเย็น อย่างบอกไม่ถูก เจ้า 3 ตัวก็คงกระวนกระวายมากขึ้น ผมเองก็ขนลุก เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก บอกตามตรงว่ากลัว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมสมองไม่สั่งให้หันหลังกลับ แต่กลับเดินเขาขึ้นไปเรื่อยๆ
 
เสียงน้ำที่เคยได้ยินอยู่ข้างทางก็หายไป....ในที่สุดก็สุดทางที่ผมเดินอยู่ แต่ก็มีทางเดินเล็ก ๆ รกเรื้อ ที่พอเดินได้ ผมตัดสินใจไม่เดินต่อไป เท่าที่ผ่านมาก็ทำให้ผมขวัญหนีดีฝ่อไปมาก ถ้าจะต้องเดินอย่างหวาดระแวงคนเดียวแบบนี้ไม่เอาดีกว่า เจ้าสามตัวที่หวังว่าจะอาศัยได้บ้างกลับเป็นภาระให้เราเสียมากกว่า....ผมตัดสินใจเดินกลับ และก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว เดินกึ่งวิ่ง ในที่สุดก็พ้นป่าทึบที่น่าอึดอัดไปได้ ผมถอนใจอย่างโล่งอก เดินช้าลง และก็มีแก่ใจมองหาเฟินที่อยู่รอบๆ ตัวได้บ้าง ที่เห็นข้างทางก็ มี เฟินกนกนารีสีเขียว เหลือบน้ำเงินสดสวย (ผมเริ่มมองสิ่งต่างๆ สวยงามขึ้นหลังจากผ่านพ้นบรรยากาศที่น่ากลัวมาได้) เฟินก้านดำใบดาว ที่อยู่ตามชั้นดินก็มีให้เห็นหลายต้น กูดดอย และ เฟินลูกไก่ดำ มีให้เห็นจนเป็นเรื่องธรรมดา ผมถึงลานหญ้าที่จอดรถ ภรรยาผม กับตั้ม นั่งรอผมอยู่อย่างสบายอารมณ์ หลังจากฟาดบะหมี่สำเร็จรูปไปคนละห่อ คงเป็นเวลาเดียวกับที่ผมกำลังผจญกับความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเอง ....ช่วงเดินทางออกจากน้ำตกผมไม่ลืมที่จะถ่ายรูป เฟินชายผ้าสีดาปักษ์ใต ้ที่เกาะอยู่ที่ต้นไม้ของชาวบ้านมาให้ได้ชมกัน.... หลังจากออกจากน้ำตกสุดท้ายที่เราแวะ ก็เดินทางแบบรวดเดียวกับถึงบ้านอย่างปลอดภัย.......